ผมได้รับกล้อง FUJIFILM รุ่น X-PRO2 มาหนึ่งตัว กับแบตเตอร์รี่ 1 ก้อน ในช่วงสองสัปดาห์ที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
ครั้นที่จะนำไปทดสอบในช่วงเวลากลางวัน ก็เกรงว่าผิวอันบอบบางจะไหม้กร้าน เพราะเปลวแดด กับลมแล้งกลางเดือนเมษายน ไหนจะฝุ่นควัน จากไฟที่เขาพากันเผาป่า เผาซากพืชไร่ ซึ่งล่องลอยหนาแน่นคลุมทั่วท้องฟ้าของภาคเหนือ ก็ทำให้บรรยากาศไม่สู้จะแจ่มใสเท่าไร อารมณ์ถ่ายภาพนั้นแทบไม่มี
…แต่ก็แอบพกติดตัวไปไหนมาไหนช่วงเย็นย่ำ เผื่อจะมีโอกาสคว้าขึ้นมาถ่ายภาพบ้างตามที่ตั้งใจ
แรกสัมผัส กล้อง Fuji X-PRO2 ทำให้ผมย้อนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อสองสามปีก่อน ที่เคยครอบครองกล้อง X-PRO 1 พร้อมเลนส์ชุดใหญ่ ใช้งานอยู่เป็นปี เพราะมันเป็นอารมณ์ที่คุ้นชิน กับกล้องรูปทรงสี่เหลี่ยม ขนาดพอดีมือ จับถือถนัด รูปโฉมออกแนววินเทจ จากช่องมองภาพแนวกล้องเร๊นจ์ไฟน์เดอร์ และปุ่มปรับต่างๆ ซึ่งเป็นแบบกลไก กระเดื่องกด โยกหมุน เห็นตัวเลข ได้อารมณ์ย้อนยุค เบาๆ ผสมกับปุ่มกดอิเล็คโทรนิคทั้งหลายที่วางไว้หลังกล้องอย่างลงตัว เรียกว่า หน้าเก่าหลังใหม่ ก็ดูเข้าที
กล้องจับถนัดมือดี นี่ผมไม่ได้มโนนะครับ ฝรั่ง ที่ไหนๆ มันก็ว่าจับถือดีกว่าเดิมเยอะ เวลาถ่ายภาพนี่ ผมก็ถูกสอนให้ถือกล้องสองมือมาตลอด นานๆ จะถ่ายมือเดียวสักที (ตอนไหนวะ จำไม่ได้) ไว้ไม่มีมือซ้ายช่วยประคองกล้องเมื่อไร จะขอเอากลับมาลองถ่ายมือเดียวทั้งวันดูนะครับ
การปรับตั้ง ISO ซ่อนไว้ในเรือนกระจกที่วงแหวนชัตเตอร์สปีด เป็นแบบยกขึ้นแล้วหมุน ชูมือขึ้นส่ายไปมา เข้าท่านะครับแบบนี้ ได้อารมณ์กล้องฟิล์มยุค ที่ถ่ายสไลด์ดีมาก ใครบอกว่าใช้ไม่ถนัด แล้วมัน “บ้า” ปรับ iso กันทุก Shot ที่ถ่ายภาพกันเลยไง? จะปรับอะไรนักหนา?
วงแหวนปรับชดเชยค่าวัดแสง อยู่ในตำแหน่งนิ้วหัวแม่โป้ง ขวา มันเป็นอะไรที่ผมใช้ประจำ ไม่ต้องกดปุ่มแล้วหมุนให้เสียเวลา อันนี้ล่ะโดนใจเฮีย
และไอ้นี่เลย “จอยสติ๊กโยกๆ เปลี่ยนจุดโฟกัสภาพ” ที่เฝ้าถวิลหา มันใช้งานง่าย เร็ว ชอบใช้ ใครไม่ชอบ ผมชอบครับ
เมื่อก่อนใน X-PRO1 ไม่มีเลนส์แก้สายตาเวลามองวิวไฟด์เดอร์ครับ ลำบากมาก ผมใส่แว่นซะด้วย
พอมารุ่น X-PRO2 ท่าทางจะโดนด่าไปเยอะ จึงจัดมาให้ใช้ เรื่องนี้ต้องชมทีมพัฒนา ที่เอาใจใส่ความปราถนาของลูกค้านะครับ
ป่ะ พร้อมแล้ว ไปตากแดดเล่นกัน นอกจากเลนส์ 23 f1.4 และ 35มม.f2 ที่ได้รับมาทดสอบพร้อมกล้องแล้ว ผมยังมีเลนส์ Voightlander 12mm. กับ 15mm. M-Mount พร้อมอแดปเตอร์ M-FX ของ FUJIFILM ให้ใช้งานร่วมกับกล้องแนวคุณปู่นี้ด้วย
…………………………..
ผมไม่ค่อยชอบรีวิวกล้องแบบที่ลากเอาสเป็คกล้อง ประดามีในอินเตอร์เนทมาวางในบทความ ชนิด ก็อปปี้ เพลสท์ ข้อความมาแปล เพราะผมคิดว่า คนที่อ่านบทความผมนั้นคงอยากรู้ว่า ถ่ายรูปออกมาแล้ว คุณภาพไฟล์ สีสัน และการควบคุมจริงๆนั้น มันสนุก น่าใช้ หรือไม่
ก็ผมเป็นช่างภาพนี่ครับ ไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่เซลล์ขายกล้อง จะมาเอาสเป็คอะไรมากมายจากคนที่เริ่มใช้กล้องตัวนี้ได้เพียงไม่กี่วัน และเดี๋ยวก็ต้องส่งคืนเขาแล้ว
สเป็คเหล่านั้น รบกวนท่านเซิร์จเอาในกูเกิ้ล เดี๋ยวก็จะอ่านกันไม่หมดไม่สิ้น หรือดูจากลิงค์ของ Dpreview นี่ก็ละเอียดดีอยู่แล้ว
http://www.dpreview.com/reviews/fujifilm-x-pro2
ด้วยเวลาอันน้อยนิด กับสภาพอากาศเช่นขุมนรก เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มันทำให้การรีวิวครั้งนี้ เน้นไปที่การเดินเที่ยวหลบร้อนตามวัดวาอารามที่เงียบเหงา แล้วคอยกดชัตเตอร์ถ่ายอะไรไปเรื่อย แบบยกซด รวดเร็ว เสียมากกว่า
ใครอยากรู้ละเอียดกว่านี้เรื่องสเป็ค ให้ไปซื้อมาทดลองเล่น แบบเปิดคู่มือเปิดตำรากันไปเลย รับรองเก่ง
“X-Trans CMOS III SENSOR” มันต้องมีอะไรดีอยู่บ้างล่ะน่า ไม่งั้นมันจะผลิตออกมาทำไม?
Fujifilm X-Pro2 features
- 24MP X-Trans CMOS III sensor (APS-C)
- 273 autofocus points (169 of which are phase-detect)
- 2.36M-dot OLED/Optical hybrid viewfinder with pop-up picture-in-picture tab
- ISO 200-12800, expandable to 100-51200 with Raw shooting at all settings
- 1/8000 sec maximum shutter speed and 1/250 sec flash sync
- Acros black and white film simulation
- Grain Effect option for JPEGs
- 1080/60p movies
สมัยใช้ X-PRO1 ผมเริ่มหัดแต่งภาพ เพราะเซ็นเซอร์แบบ X-TRANS I นี่ล่ะ จากที่หลายๆคนบอกว่า RAW ของ X-TRANS I นั้นไม่เชื่อง เป็นวุ้นบ้าง ขุดไม่ได้บ้าง ก็เลยสงสัยและเริ่มใช้โปรแกรม LightRoom มานับตั้งแต่นั้น
ซึ่งก็ไม่เห็นว่า มันจะมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้ Xtrans CMOS1 ก็ปรับแต่งได้ดี ขุดได้ สวยกว่าจากกล้อง APS-C อีกหลายตัวที่ร่วมสมัย ซะด้วยซ้ำ . . . ดูภาพจาก X-PRO1 ได้ในสไลด์โชว์ด้านล่าง
แล้วก็ห่างหายกันไป เพราะไม่มีกล้อง FUJI ในมือ จากงานการ อาชีพ ที่ต้องถ่ายวิดีโอ ไทม์แลปส์ และใช้ไฟล์ใหญ่โตสำหรับงานพิมพ์ รวมถึงงบประมาณการครอบครองอุปกรณ์มีจำกัด จึงจำใจต้องปล่อย X-PRO1 ออกไป
จนกระทั่งมาถึงยุคของ X-TRANS III นี่ จึงได้ขอยืมบริษัท ฟูจิฟิล์ม ประเทศไทย มาลองเล่นดู
บอกได้เลยว่า “Love at First shot!!!!” นะ ไม่ได้โม้
ทำไม่น่ะหรือ?
รูปแรก ที่เริ่มกดชัตเตอร์นี้ ผมยืนตั้งหลักปรับตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ช่วงเย็นมากๆ ในวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ความสงสัยแรกของผมก็คือ ขนาดไฟล์ ความละเอียด และสีสันของ X-Trans3 นั้น มันเป็นอย่างไร?
ผมลองใช้ Film Simulation แบบ PROVIA/Standard เป็นแบบแรก จากทั้งหมด 14 แบบ ที่กล้องมีให้ และทดลองใช้ White Balance แบบ Auto เพื่อลองของ
ซึ่งเมื่อขยายดู ก็ต้องบอกว่า “เก่ง” ทำงานได้เลย Noise น้อย สีอิ่มสด คอนทราสท์กำลังดี ไม่ Over Saturated
และมีรายละเอียด ทาง Dynamic Range มากพอสมควร ไฟล์ขนาด 24 MP เท่ากับ APS-C DSLR แบรนด์ใหญ่ รุ่นโปร ที่มีราคาพอๆกัน
เดินวนเวียนใต้ชายคาวัด หลบร้อนก่อนจะได้ภาพนี้มา ผมว่าผมอยากดู Detail และความเปรียบต่าง ร่วมถึงการจัดการสีแดงโดยเซนเซอร์ ซึ่งก็ไม่เลวนัก สำหรับแสงผสมแบบนี้
เริ่มเปลี่ยน Film Simulation เป็น VELVIA/ VIVID เพราะสมัยถ่ายฟิล์มสไลด์นั้น เจ้าฟิล์ม VELVIA นี้ เป็นฟิล์มที่ผมชอบใจมาก สีสัน คอนทราสท์ ความอิ่ม มันสุดๆจริงๆ
ตอนแรกผมคิดว่า VELVIA จะทำให้คอนทราสท์จัดมากจนเสียช่วงกว้างของ Dynamic Range แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ไม่จมหายไปในความมืดแบบ X-TRANS1 ของ X-PRO1 สมัยก่อน
ดูความอิ่มสีจาก VELVIA ที่ถ่ายมา ก็ไม่ต้องเร่ง Saturate และ Vibrance กันแล้วมั๊งครับ
สว่างที่สุด จนถึงมืดที่สุด แบบไม่ต้องขุด RAW
ปกติ เวลาที่ถ่ายภาพวัตถุสีทอง ก็มักจะกังวลว่าจะมี สีเขียว ปนเข้ามาในทอง
แต่ Film Simulation แบบ Velvia ของ X-PRO2 นี้ นับว่ามีสีเขียวปนเข้ามาน้อยมาก จนไม่ต้องดูดสีเขียวออก
แสงจากหน้าต่าง กับแสงภายในห้องบริเวณมุมมืดนั้น ต่างกันร่วมๆ 4 stop
แต่ถ้าตั้งใจจะดึงแสงในไฟล์ RAW จริงๆเมื่อไร ผมว่าก็ไม่ลำบากอะไรนัก เพื่อนนักขุดทั้งหลาย สบายใจได้
มีปัญญา อยากขุด ก็ขุดกันไป มีของดีแล้วไม่ใช้ มัวแต่รังเกียจว่าใช้ไฟล์ RAW ไม่ได้จบหลังกล้อง ไม่เก่ง แบบนั้นไม่ฉลาด เหมือนซื้อเฟอร์รารี่ มาขับในเยาวราชที่รถติดทั้งปี คือมันได้แต่ความเท่ แต่ไม่ได้สมรรถนะความแรงของเครื่องยนต์ คิดแบบนั้นเพื่ออะไร?
Tone & Shade + Dynamic Range
รูปนี้ นิมนต์เณรที่อ่านหนังสืออยู่ มานั่งเป็นนายแบบเช็ค TONE สีผิวสักหน่อย
ใช้ Film Simulation แบบ Classic Chrome ซึ่งผมคิดว่าสีผิวถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริงที่สุดสำหรับงานแนวผมนะครับ (ไม่ใช่แนวนางแบบ หวานใส) การไล่โทน มืดไปสว่างทำได้ดีมาก ทั้งๆ ที่ปริมาณแสงต่างกันมาก เหลืองทองไม่เพี้ยน ผิวมี magenta เรื่อๆ เรียกได้ว่า ถูกใจแนว Street Portrait แบบผมมาก
แต่ถ้าใครไม่ชอบเหมือนผมก็อย่างเพิ่งขัดใจ เพราะกล้องให้ Film Simulation มามากมาย จะเลือกตั้งแต่ตอนที่ถ่าย Jpeg หลังกล้องก็ได้ หรือถ่ายเป็น RAW มาเลือกใน Lightroom CC ผ่าน Camera Profile ที่มีอยู่ในโปรแกรมก็ได้ ไม่ผิดกติกาอะไรทั้งสิ้น
(ที่โชว์นี่เฉพาะ Film Simulation แบบสี เท่านั้นนะครับ ถ้ารวมขาวดำด้วยก็จะมีถึง 14 แบบให้เลือกจนงง)
ชอบสีแบบไหน ดู Camera Profile ที่ลายน้ำในภาพเอาเองครับ เรื่องสีนั้นคงไม่พูดมาก
แต่พอเป็นขาวดำ เราจะพบว่ามี Profile ใหม่ๆขึ้นมา คือ ACROS, ACROS Yellow, Red, Green ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจาก ขาวดำ MONOTONE ธรรมดา โดยจะเพิ่มคอนทราสท์มากกว่าปรกติ ดำลึกกว่า ขาวสว่างกว่า MONOCHROME
และที่สำคัญคือ ฟูจิพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ภาพที่ถ่ายจาก ACROS นี้ ออกมามี “เกรน” ที่สมจริงเหมือนตอนที่เราถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำมากที่สุด คือไม่ใช่ใส่เกรนลงไปในทั้งภาพ แต่จะเลือกทำให้นอยซ์ปรากฏขึ้นมาเฉพาะในบริเวณที่ควรจะมีน๊อยซ์บนฟิล์มเท่านั้น รวมถึงน๊อยซ์เหล่านี้ จะแปลผันไปตาม ISO ที่ใช้อีกด้วย
นี่ล่ะ ที่ผมบอกว่า “Something Remind me to Films”
รูปแบบเส้นกร๊าฟของ ACROS ที่ชันกว่า MONOCHROME ปกติ
ที่เหลือก็เป็นการลดทอนปริมาณแสง ตามฟิลเตอร์สีที่ใช้ เช่นสีเหลือง ก็ทำให้ผิวสว่าง สีเขียว ก็ทำให้ผิวเข้มมาก ส่วนสีแดง เวลาถ่ายคนต้องระวังให้ดี เพราะปากจะขาวเนื่องจากฟิลเตอร์แดง ยอมให้สีแดงเข้ามากกว่าเดิมนั่นเอง
แบบ ACROS มีฟิลเตอร์สี
แบบ MONOCHROME มีฟิลเตอร์สี
ชอบแบบใด เลือกใช้ให้ถูกกับงานนะครับ
…………….
2 Types of Manual Focus Assist
เมื่อทดลองใช้การโฟกัสแบบ Manual ที่มีตัวช่วยโฟกัสให้เลือกสองแบบ
แบบแรกคือ Peaking focus ด้วยปื้นสี ซึ่งก็มีให้เลือกหลายสีหลายระดับตามความถนัด ซึ่งเหมาะกับการหมุนหาโฟกัสบนวัตถุที่เป็นชิ้นใหญ่ แยกกันชัดเจน
แต่หากเป็นวัตถุแบนๆ มีรายระเอียดเยอะๆ หรือการใช้เลนส์มุมกว้าง และใช้ f stop แคบๆ
ซึ่งดูเหมือนจะชัดไปซะทั้งภาพ ไอ้เจ้า Peaking นี่จะรบกวนสายตามาก เพราะทั้งภาพจะเต็มไปด้วยปื้นของสีที่เราตั้งค่าเอาไว้
X-PRO2 ฉลาด ที่ให้ตัวช่วยโฟกัสแมนนวลแบบ Split image focusing เพิ่มกำลังขยายเวลาโฟกัส มีทั้งแบบเป็นสีตามที่เห็น หรือเปลี่นเป็นขาวดำให้ดูง่ายขึ้นเวลาที่ภาพเต็มไปด้วยรายละเอียดของสี
มันช่วยให้การโฟกัสด้วยมือ บนวัตถุแบนราบแต่มีรายละเอียดสูง เช่นรูปตัวอย่างด้านบนนี้ง่ายขึ้นเป็นกอง
และผมว่า Split image focusing นี่ล่ะ ที่ถูกใจผมมากที่สุดในการทดสอบวันแรก
นอกจากนั้น หากเปลี่ยนช่องมองภาพเป็นแบบไลฟ์วิวแบบ optical view finder แต่ก่อนนี้ ใน X-PRO1 จะมีแต่เฟรมขนาดภาพตามเลนส์ที่ใช้มาให้ แต่ต้องใช้ออโต้โฟกัสเท่านั้น เพราะ OVF ไม่มีตัวช่วยโฟกัสแบบแมนนวลมาให้ พอเป็น X-PRO2 ซึ่งเป็นช่องมองภาพแบบไฮบริด จะมีพีคกิ้ง หรือสปริทอิมเมจปรากฏซ้อนขึ้นมาบน OVF ช่วยให้หมุนหาโฟกัสได้อย่างแม่นยำ โดยยังมองเห็นวัตถุที่อยู่นอกระยะกว้างของเลนส์ได้เช่นเดิม
แบบนี้ มันส์มากนะ ขอบอก
……………..
Something remind me to films
อารมณ์ สีสัน ที่ได้จาก Jpeg มันพาให้ย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ที่ใช้ฟิล์มสไลด์ PROVIA และ VELVIA เดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพ
กล้องน้อยตัวนักที่จะจัดการสีมาให้ใช้ ได้อย่างตรงใจคนที่ชอบสีแบบฟิล์มสไลด์สี
….อย่าลืมนะครับว่า ฟิล์มที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ FUJIFILM นี่ล่ะครับ
มันจะไม่โดน ไม่คิดถึงอารมณ์ของฟิล์มสไลด์ ได้อย่างไร?
มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ตั้งแต่สมัยที่ X-PRO1 ออกมาใหม่ๆ คือ
“ช่างภาพแบบไหนกัน ที่จะซื้อ X-PRO 1 ราคาหกเจ็ดหมื่นมาใช้ถ่ายภาพ (ราคาออกใหม่ๆ)
รวมเลนส์ด้วยก็รวมแสน…………………แต่สุดท้ายผมก็ซื้อมันมาใช้นะ
นั่นล่ะ จึงได้คำตอบว่า ช่างภาพประเภทไหนกัน ที่ซื้อมันมาใช้งาน
คงไม่ใช่แนวที่รับจ้างถ่ายภาพนิ่ง ปรีเวดดิ้ง อาหาร อินทีเรีย แบบนั้นแน่ๆ เพราะงานแนวนั้น ใช้ DSLR ที่มีเลนส์ให้ใช้มากมาย จะคุ้มค่ากว่า จะมีบ้างที่เอา X-PRO1 ไปใช้งาน ก็ในลักษณะกล้องสำรอง หรือสอดคล้องกับงาน เช่นในงานเลี้ยงกลางคืน เดินสแน็ปไปเรื่อยๆ แบบนั้น
แต่ส่วนใหญ่ที่ซื้อ ก็คือท่านที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว ถ่ายภาพ บันทึกความทรงจำ ชนิดที่ต้องการคุณภาพไฟล์ ในขนาดอุปกรณ์กระทัดรัด ดูดี ปรับตั้งเองได้ทุกอย่าง หรือบางโอกาส จะใช้โปรแกรม ออโต้ ก็วางใจ
โดยเฉพาะคนที่มีเลนส์มือหมุน M-Mount อยู่บ้างแล้ว ก็ยิ่งชอบความเป็นคอมแพ็คโปรของ X-PRO ทั้ง 1 และ 2 เข้าไปอีก
ผมเองไม่ใช่ช่างภาพแนว Street Photography ที่เก่งเรื่องแก๊ก มุก หรือมุมมอง ชนิดที่แนวสตรีทในเมืองไทยนิยมกัน และก็ไม่ใช่แนวแลนด์สเค็ป ปีนเขา รอแสงเทพเหยียบหิมะ ล่าทางช้าง ตั้งขาเก็บแสงไหล หรือไม่เคยคิดไปต่างประเทศเพื่อรีวิวกล้องหรือเลนส์ ก็ถ่ายกันไปตามเรื่องตามราว แบบ Real World Review นี่ล่ะครับ….ว่างเมื่อไรผมก็มักที่จะเดินเก็บภาพชีวิตทั่วไปตามท้องถนน โดยเฉพาะการบันทึก Street Portrait นั้น เป็นสิ่งที่รื่นรมณ์มากสำหรับตัวผม และ X-PRO2 ก็ช่วยได้มาก
เจออะไรก็บันทึกไปเรื่อย ใช้การปรุงแต่งภาพในกล้องแบบ Velvia ตั้ง White Balance DayLight +2R,2B ชดเชยแสง -1stop
มันง่ายที่จะเดินไปพร้อมกล้องตัวเล็กๆ ใช้เลนส์ตัวเดียวไม่เปลี่ยน แล้วท่องเที่ยว ชมชีวิตไปเรื่อยเปื่อย
ความที่กล้องดูไม่ใหญ่โต เล็ก เป็นมิตร เราสามารถถือถ่ายแบบ Snap ได้ในระดับอก โดยไม่ต้องยกกล้องแนบตาให้เป้าหมายเกร็ง หรือเปลี่ยนท่าทางผิดไปจากธรรมชาติที่เขาเป็น
ลองใช้ Viewfinder แบบ Optical Viewfinder แบบไฮบริดจ์ มองภาพแสงจริง โดยมีจอโฟกัสเล็กๆ เป็น electronic viewfined จิ๋วๆ ปรากฏซ้อนขึ้นมาในภาพ ก็ทำงานได้ดี โดยเฉพาะในที่แสงมีความเปรียบต่างสูงอย่างรูปข้างบนและข้างล่างนี้
Auto focus แบบเลือกโฟกัสที่ใบหน้า ช่วยได้มากในเวลาที่รีบ
จอยสติ๊กเลือกจุดโฟกัส ทำงานเร็ว สะดวก สอดคล้องกับจุดโฟกัสแบบ phase-detect ถึง 169 จุด และหากรวมแบบธรรมดาด้วย ก็จะมีจุดโฟกัสถึง 273 จุดกระจายอยู่ทั่วภาพ จะดันจอยสติ๊กไปสุดมุม ก็ยังโฟกัสได้ดี
น้า ขอถ่ายรูปนะครับ
…น้าผู้ชาย ทำตาเขียวใส่ “จะถ่ายทำไม?”
แฟนน้าสวยนะ (ผมเต้นฟุตเวิร์คเอาตัวรอด)
“… ไม่ใช่แฟนนะ” พี่ผู้หญิงพูดสวนมาทันควัน
“หนูนั่งอยู่ ลุงแกมาชวนคุย คุยเป็นชั่วโมงแล้ว ไม่ยอมไปไหน”
อ้าวน้า จีบสาวอ่ะดิ แบบนี้?
“อีนางมันน่ารักดี ลุงชอบ” พลางยกนิ้วโป้งแสดงให้รู้ว่าพูดจริงๆ
นั่นไง เจ้าชู้นะเรา
ระหว่างนั้น ผมก็ใช้จอยสติ๊กเลือกจุดโฟกัสไปมา ถือเป็นการถ่ายภาพที่มีความสุขอีกวันหนึ่ง
น้านี่ อย่างเท่
……………….
ISO / NOISE
เรื่อง iso ที่สูงมากๆ มันแสดงถึงเทคโนโลยี ที่ดี แปลว่าเซนเซอร์และการประมวลผลนั้น เก่ง
หลายท่าน กังวลเรื่อง Noise ที่ ISO สูงๆ เปรียบเทียบกับกล้องนั้นกล้องนี้ ว่าอะไรดีกว่ากัน
แต่ผมขอสารภาพว่า ผมไม่ใช้ ISOสูงๆ ในการถ่ายงาน
ต่อให้เดินถ่ายในที่ไม่มีแสง ผมก็ใช้ ISO ต่ำที่สุดเท่าที่จะใช้ได้
รูปที่เดินถ่ายใน กทม. นี้ ใช้ L (iso100) ทุกรูป ไม่เคยเปิด iso auto
รูปพ่อค้าผัดก๋วยเตี๋ยวนี่ก็ขยับมาเป็น ISO200 เท่านั้น
ก็ทำไมต้องใช้ iso สูงๆ ล่ะ ภาพมี Movement บ้าง ก็ได้อารมณ์ดีนะครับ
ตอนสมัยที่ใช้ฟิล์ม ใส่ม้วนไหนไปก็ใช้ไปจนหมดนั่นล่ะ เปลี่ยน ISO กลางม้วนได้ซะที่ไหนล่ะ
อีกอย่างคือ ISO สูงมากๆนั้น ถ่ายมาได้ แต่มักเเอาไปใช้อะไรไม่ได้ ว่ามั๊ย?
ขนาดว่ากล้องที่ใช้ประจำอยู่จริงๆนั้น เคลมว่าตั้ง iso ได้เป็น แสน แต่ผมก็ไม่เคยลองมันเลย แม้แต่รูปเดียว
ส่วนมาก เหลือทนจริงๆ ต้องถ่ายวิดีโอ ก็ไม่เกิน iso800
ดังนั้น การทดสอบ Noise ผมจะทดสอบที่ iso 800 ซึ่งเป็น iso ที่ผมคิดว่ามันใช้งานได้จริงเท่านั้น
iso 800 ขยายขึ้นมาดูน๊อยซ์ที่กลางภาพ
iso 800 ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทำงานได้
การทดสอบ ไม่ได้ใช้ Noise reductions ทั้งจากในกล้อง และในโปรแกรม เพราะต้องการให้เห็นไฟล์จริง
……………………………………
บทสรุป จากการถือถ่ายภาพแค่สี่วัน
- ไฟล์ RAW เนียนกว่าเดิม ไม่ค่อยเปลืองแรงขุด
- ไฟล์ภาพ Jpeg สวย Camera Profile หลากหลาย ถ้าเลือกให้เหมาะกับงาน สามารถนำไปใช้ได้ทันที
- Dynamic Range อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (ผมใช้กล้องอื่นหลายตัว)
- White Balance แม่น สามารถทำ Color Shift เพิ่มได้ตามสไตล์ที่แต่ละคนชอบ
- ผมไม่ค่อยบ้าเรื่อง ตัวเลข ISO ขอผ่านประเด็นนี้
- ขนาดกำลังดีสำหรับการถือเดินทาง ท่องเที่ยว พกพา
- ควบคุมง่าย ปุ่มกดไม่ซับซ้อน และวงแหวนกลไก ก็น่าหลงไหล
- เลนส์ XF ของฟูจิที่ผมได้มาทดสอบร่วมนั้นก็มีขนาดกระทัดรัด ให้คุณภาพสูง และทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
ความสามารถในการโฟกัสนั้น ผมว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป - ผมถูกใจจอยสติ๊กเลือกโฟกัส และช่องมองภาพแบบไฮบริดจ์เป็นพิเศษ ถ้าฝึกใช้งานให้คล่อง กระบี่เล่มงามจะอยู่ในมือเรา
- มี RAW Converter มาให้ในเมนูการเอาท์พุทไฟล์ ซึ่งแก้ไขสีภาพได้ตั้งแต่ในกล้อง
- หล่อ นี่อารมณ์ล้วนๆ
ที่ไม่ถูกใจ
- ความจุแบตเตอร์รี่ ต่ำเกินไป
- ไม่มีปุ่มRecord วิดีโอโดยตรง อาศัยอยู่ในปุ่มอื่นๆที่ต้องตั้งขึ้นมาเฉพาะ
- จอไม่กระดก อด Selfie นะหล่อนๆ
- การประมวลผลไฟล์ภาพเมื่อถ่ายต่อเนื่อง มีอาการหน่วง ช้า โดยเฉพาะเมื่อถ่ายแบบ RAW+Jpeg fine
- สีดำมัน เป็นรอยง่าย (นี่ประสบการณ์จริงของคนรักอุปกรณ์)
ความเห็นส่วนตัว
อย่าบอกใคร ว่ากล้องตัวไหนสุดยอดที่สุดในโลก หรืออย่าประกาศตัว ว่า I’m……. หรือ ขอบแดง ธงฟ้า………หรือเป็นสาวกของค่ายใดค่ายหนึ่งแบบบ้าคลั่ง
คุณไม่มีทางรู้ว่า ความสุดยอดของเทคโนโลยีในวันนี้ จะถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีที่ดีกว่า เมื่อไร
ใช้กล้อง และเลนส์เป็นเครื่องมือ อย่าให้มันกลายเป็นนาย ผูกมัดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จำเป็น
การถือ X-PRO2 ออกเดินถ่ายภาพ เพียงแค่ สี่วัน (เฉพาะช่วงบ่ายเย็นของแต่ละวัน) หากผมพูดว่า
“กล้องตัวนี้มันสุดยอด” เมื่อไร ให้จำเอาไว้เลยว่า …ผมกำลังตอแหลให้คุณฟัง!!!
เพราะ ผมยังเรียนรู้ ทำความรู้จักกับเมนูต่างๆ ของมันไม่หมดทุกเมนู
ผมยังไม่ได้ลองถ่ายภาพ ในสถานการณ์ และรูปแบบ ที่ครบถ้วน ตามที่ควรจะเป็น
ผมเพียงแค่ทดลอง สิ่งที่ผมถวิลหา นั่นคือ อารมณ์ฟิล์ม ทั้งสี สไลด์ ขาวดำ ที่ผมคิดถึง
โดยใช้ Camera Profile ที่ FUJIFILM พยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของคนที่เคยมีประสบการณ์ในยุคนั้น
และเมื่อมองให้ดีๆ ผมกำลังพูดถึงงานทางวิศวกรรม อิเล็คโทรนิคขั้นสูง ที่พยายามทำตัวเองให้เหมือนกับ Analog
เหมือนหุ่นยนต์ที่ชาญฉลาด ที่พยายามทำตัวเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งเลียนแบบได้บ้างในบางจุด คงไม่มีทางที่จะเหมือนกันได้ทั้งหมด และคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบ
ซึ่งคุ้มค่าแก่การรอคอย….
เมื่อเปรียบเทียบหุ่นยนต์ กับมนุษย์ ในแง่ของความแม่นยำ รวดเร็ว การวิเคราะห์ จำแนก ….หุ่นยนต์ย่อมทำได้ดีกว่ามนุษย์อยู่บ้าง แต่หากเปรียบเทียบกันทางด้านอารมณ์ ก็คงต้องตอบว่า ไม่มีอะไรที่จะมาแทนที่อารมณ์ของมนุษย์ได้ …มันไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ หรือความถูกต้อง แต่มันคือ……………… “จินตนาการ”
และสิ่งเดียวที่ผมกล้าพูด เกี่ยวกับ X-PRO2 ในวันนี้ ก็คือ
มันเป็นกล้องที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ แบบฉับพลัน ที่จะพาผมย้อนอดีต ความรู้สึก และประสบการณ์สมัยยังหนุ่ม เดินหิ้วกระเป๋ากล้องตามครูผู้มากประสบการณ์ ออกท่องโลก ด้วยฟิล์มที่มี ISO สูงสุด ไม่เกิน 400
ไม่มีฟิลเตอร์สี ไม่มีจอหลังกล้อง ไม่มีไฟแฟลชช่วยถ่ายภาพ และไม่มีอะไรอีกมากมายแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน
จะมีก็แต่ “ความพยายามที่จะสื่อสารเรื่องราวที่พบเห็น ผ่านฟิล์ม ด้วยจินตนาการอันเต็มเปี่ยม โดยไม่บิดเบือน”
มีรางวัล เป็นความรู้ และความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่พบเห็น ได้พูดคุย และได้ฟัง ในระหว่างที่ถ่ายภาพ
อย่านำ X-PRO2 ไปเปรียบเทียบกับใคร ในราคาเดียวกัน
เพราะเมื่อคุณมองมาที่ X-PRO2 คุณไม่ได้ต้องการแค่เครื่องมือถ่ายภาพทั่วๆไป
แต่คุณกำลังมองหากล้องถ่ายภาพที่ตอบสนองอารมณ์ และความปรารถนาภายในของตัวคุณเอง
“สำหรับผม การถือ X-PRO2 เดินถ่ายภาพ
ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าผมเป็นช่างภาพชั้นเทพ
แต่ X-PRO2 ทำให้ผมกลายเป็นคนหนุ่ม
ที่พยายามตามหาและทำความเข้าใจกับ ทุกๆ เรื่องราว
ระหว่างทางที่เดินย้อนอดีต กลับไปสู่ยุคของฟิล์ม”
………………………….
พิษณุ โถยอด
3 พฤษภาคม 2559